สอบถามการใช้สิทธิ บัตรทอง 30 บาท

สายด่วน สปสช. Contact center 1330
"สิบสาม สาม ศูนย์" จำง่าย ใช้คล่อง ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทอย่างมั่นใจ
หากต้องการความช่วยเหลือ หรือขอคำปรึกษาสามารถติดต่อ สายด่วน สปสช. 1330 พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 

● สิบสาม (13) : ใช้เอกสารที่มีเลข 13 หลัก เช่น บัตรประชาชน, ใบขับขี่, Passport แอปฯ ThaID (บัตรประชาชนดิจิทัล), หรือเอกสารอื่น ๆ ที่ราชการออกให้และมีเลขประจำตัว 13 หลัก

● สาม (3) : 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการใช้สิทธิ
- หากสงสัยวิธีการใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท โทรถามได้ที่ 1330
- แจ้งใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาททุกครั้งก่อนรับบริการ
- ยื่นบัตรประชาชนทุกครั้งเมื่อเข้ารับบริการ

● ศูนย์ (0) : 0 บาท ไม่มีค่าใช้จ่ายเมื่อทำตามสิทธิ และหากพบปัญหาสามารถโทรปรึกษา 1330 ได้ทันที

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
1. สายด่วน สปสช. 1330
2. ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

#สปสช #30บาทรักษาทุกโรค #30บาทรักษาทุกที่ #สิทธิบัตรทอง #สิทธิ30บาท #บัตร30บาท #NHSO #สายด่วน1330 #ใช้สิทธิบัตรทอง30บาทอย่างมั่นใจ #1330โทรปรึกษาได้ #จำง่ายๆ #1330โทรถามก่อนได้ #สิบสามสามศูนย์

น้ำ ที่คุณใช้อยู่สะอาดจริงรึเปล่า?! มีอะไรปนเปื้อนหรือไม่? ระวังเชื้อปรสิตในน้ำ สาเหตุทำตาแดง-อักเสบ หากติดเชื้อ และร้ายแรงอาจถึงขั้นตาบอด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ!!!

จากข่าว ที่ได้มีการพบเชื้อปรสิตปะปนอยู่ในน้ำประปา ซึ่งพบว่าเกิดจากสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น แมลง ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และอื่นๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะเราใช้น้ำประปาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า แปรงฟัน และทำความสะอาดต่างๆ

เชื้อปรสิตที่พบคือ “อะแคนทามีบา” Acanthtamoeba  เป็นเชื้อปรสิตที่ก่อโรคและฉวยโอกาสที่พบได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป เช่น น้ำ ดิน ฝุ่นละออง ซึ่งก่อให้เกิดโรคได้ไม่บ่อย แต่ทุกคนสามารถติดเชื้อได้ โดยมีอาการที่พบได้ ดังนี้

• แสบตา ปวดตา
• แพ้แสง น้ำตาไหล
• ตาแดง กระจกตาอักเสบ
• การมองเห็นลดลง
• เสี่ยงทำให้ตาบอด
• เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทาง เช่น ผ่านทางดวงตาโดยเฉพาะในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ทางบาดแผลที่ผิวหนัง การสูดหายใจเอาเชื้อเข้าสู่ปอด การป้องกันการติดเชื้อที่กระจกตาเบื้องต้นที่แนะนำควรปฏิบัติ

ขอบคุณข้อมูลจาก.https://www.sikarin.com/healthและกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

1. รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์

• รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักการจานอาหารสุขภาพ ประกอบด้วย ผักและผลไม้หลากหลายสี 50% แป้งไม่ขัดสี 25% จำพวก ข้าวกล้อง ธัญพืช เน้นโปรตีนคุณภาพดีอีก 25% อย่างเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ขาว เทมเป้
• ลดการบริโภคเนื้อแดง (เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ) และเนื้อสัตว์แปรรูป
• หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มันเค็ม
• รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด ปลอดภัย อยู่เสมอ

2. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 – 10 แก้ว

การดื่มน้ำที่เพียงพอช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ และรักษาสมดุลเกลือแร่และการทำงานของร่างกาย

3. นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน

จัดห้องนอนให้มืดสนิท โดยงดการใช้มือถือก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที เพื่อไม่ให้แสงสีฟ้า รบกวนการทำงานของฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องความง่วงและหลับสนิทตลอดคืน

4. เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ

ออกกำลังกายประเภทแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้น ฟุตบอล บาสเกตบอล ให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยลดไขมันและทำให้หัวใจและปอดแข็งแรง ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกเวท วิดพื้น สควอท อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์

5. งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่น

สารนิโคติน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้

6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ ทำให้ระบบประสาททำงานได้ลดลงและยังส่งผลต่อโรคต่าง ๆ ตามมา

7. เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี

ช่วยคัดกรองหาความผิดปกติของร่างกาย ป้องกัน รักษา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้อย่างทันท่วงที

8. ฉีดวัคซีนประจำปีให้ครบ

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการแพร่ระบาด และลดความรุนแรงของโรค

9. ดูแลสุขอนามัยส่วนตัวให้สะอาดอยู่เสมอ

รักษาความสะอาดอยู่เสมอ หมั่นล้างมือด้วยสบู่ 7 ขั้นตอน ซึ่งสามารถป้องกันการสะสมและแพร่กระจายของเชื้อโรคและแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายได้

10. จัดการกับความเครียดและมีความสุขในทุกวัน

หาเวลาผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตประจำวัน ด้วยการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ รวมทั้งแบ่งปันเรื่องราวให้กับบุคคลรอบข้างที่เรารักและรักเรา ช่วยสร้างความสุขได้

ที่มา.https://www.bdmswellness.com/knowledge/world-health-day-2023