วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2024 เวลา 00:00 น.
เขียนโดย กองสาธารณสุขฯ


หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด เป็นๆ หายๆ

หรือเราจะเป็น "แผลกระเพาะอาหาร"

.
หากใครรู้สึกว่าไม่ว่าจะกินน้อยหรือกินเยอะ ท้องก็รู้สึกไม่สบาย ปวดอยู่บ่อยๆ เป็นๆ หายๆ คงทำให้หลายคนเคยชิน จนไม่คิดสงสัยว่าตนเองอาจกำลังเป็น "โรคแผลกระเพาะอาหาร"

ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาการอาจลุกลามจนก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในอนาคตได้ค่ะ
.

แผลในกระเพาะอาหาร เกิดจากอะไร?
โรคแผลในกระเพาะอาหาร มีสาเหตุสำคัญมาจากกรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาภายในกระเพาะอาหารมากเกินปกติ ร่วมกับการที่เยื่อบุเมือกในผนังกระเพาะอาหารสร้างแนวต้านทานกรดได้ไม่ดีพอ ส่งผลทำให้ผนังภายในกระเพาะอาหารถูกทำลายจนเกิดการอักเสบเป็นแผล หากทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงกว่า เช่น เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือแม้กระทั่งเป็นแผลทะลุได้
.

อาการบ่งชี้ว่าอาจกำลังมีแผลในกระเพาะ
อาการที่พบ คือ ปวดแสบ จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ซึ่งอาการปวดมักเกี่ยวข้องกับมื้ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ และเรอเปรี้ยว ในกรณีที่แผลอยู่ในลำไส้เล็กส่วนต้น อาการปวดมักเกิดขึ้นหลังจากกินอาหาร 1-3 ชั่วโมง แต่บางครั้งอาการปวดอาจไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่จะเป็นๆ หายๆ ทั้งก่อนหรือหลังมื้ออาหาร
.

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวล
- การกินอาหารไม่ตรงเวลา การอดอาหารบ่อยๆ
- การกินอาหารรสจัดเป็นประจำ
- การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การใช้ยาแก้ปวดจำพวก Aspirin หรือยาลดการอักเสบเป็นประจำ
.
นอกจากนี้ การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (H. pylori) ผ่านทางการกินน้ำและอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอยู่ในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร และอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้
.

แนวทางการรักษาและดูแลตนเอง
การรักษาโรคกระเพาะอาหารมักเริ่มต้นด้วยการใช้ยาลดกรดและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
- กินอาหารให้ตรงเวลาในทุกๆ มื้อ
- เน้นอาหารที่ย่อยง่ายและเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของหมักดอง แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- จำกัดการใช้ยาที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอสไพริน ยาสเตียรอยด์ และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หากจำเป็นต้องใช้ให้ปรึกษาแพทย์
- หมั่นหาเวลาพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายจิตใจ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดและความกังวลใจ
.
ทั้งนี้ หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจเผชิญกับโรคนี้ ก็อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้องเพื่อดูสภาพของกระเพาะอาหารและตรวจหาเชื้อ H. pylori เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

.
การรับมือกับ "โรคกระเพาะอาหาร" ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเราใส่ใจและดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการรักษาตามแนวทางของแพทย์และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม สุขภาพดีของกระเพาะอาหารสามารถนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ค่ะ

